ประวัติประตูเมือง และแจ่งเมืองเชียงใหม่
image

ประตูเมืองชั้นในเชียงใหม่ มี ๕ ประตู ได้แก่ ประตูช้างเผือก, ประตูท่าแพ, ประตูสวนดอก, ประตูเชียงใหม่ และประตูแสนปรุง

๑.ประตูช้างเผือก

ตั้งอยู่ทางทิศเหนือเป็นจุดรวมไพร่พลเพื่อเตรียมสู้รบยามเกิดศึกสงคราม
image
image
image

๒.ประตูท่าแพ

ด้านซ้าย เปรียบเสมือนประตูแขน ขา เป็นประตูทางผ่านของเจ้าในสมัยนั้น และเป็นจุดค้าขายแลกเปลี่ยนข้าวของ
image

๓.ประตูสวนดอก

ด้านขวาที่ได้ชื่อว่าสวนดอกนั้นก็เพราะชายาของพระยากือนาชื่นชอบในการทำสวนดอกไม้ จึงมีสวนดอกไม้บริเวณนั้นมากมาย
image

๔.ประตูเชียงใหม่

อยู่ทิศใต้เป็นประตูมงคลของบ้านเมือง
image

๕.ประตูแสนปรุง (สวนปรุง)

เป็นประตูที่ใช้เป็นทางผ่านของศพ โดยเจาะกำแพงชั้นในด้านใต้สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัย พญาสามฝั่งแกน เนื่องจากในรัชสมัยของพระองค์ได้สร้างเจดีย์ราชกุฏคาร(เจดีย์หลวง)ขึ้น ดังนั้น เพื่อความสะดวกแก่พระราชชนนีที่โปรดประทับอยู่ที่ตำหนักสวนแร(ทิพย์เนตร)นอกกำแพงเมืองด้านทิศใต้จะได้ทรงสะดวกในการเสด็จมาสักการะพระเจดีย์ จึงโปรดให้เจาะกำแพงเมืองด้านนั้น และตั้งชื่อว่า ประตูสวนแร ต่อมาเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นที่ใช้ประหารนักโทษ ใช้หอกหลาวทิ่มแทงปุง (พุง) ชาวบ้านจึงเรียกว่าประตูสวนปุง หรือ ประตูแสนปุง นับแต่อดีต เชียงใหม่มีประเพณีที่ว่าหากมีการเสียชีวิตภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ จะต้องนำศพออกจากตัวเมืองผ่านทางประตูนี้เท่านั้น ซึ่งก็ยังยึดถือประเพณีนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน
image

ประตูเมืองชั้นนอก

มีทั้งหมด 7 ประตู เป็นประตูเดิมที่สร้างในพุทธศตวรรษที่ 22 อยู่ 4 ประตู ได้แก่

? ประตูเชียงเรือก (เชียงเลือก) หรือประตูท่าแพ (ชั้นนอก) อยู่ทางทิศตะวันออก
? ประตูหล่ายแกง(ระแกง)
? ประตูขัวก้อม
? ประตูไร่ยาหรือไหยา (ประตูหายยา) และเป็นประตูที่สร้างในรัชสมัย พระยาพุทธวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 2 ซึ่งสร้างเพิ่มอีก 3 ประตูได้แก่
? ประตูศรีภูมิ
? ประตูช้างม่อย
? ประตูกะโหล้ง

กำแพงเมืองเชียงใหม่

หรือ กำแพงเวียงเชียงใหม่ เป็นกำแพงเมืองชั้นในของเวียงเชียงใหม่ สร้างขึ้นพร้อมๆกับการสถาปนาอาณาจักรล้านนา ในรัชสมัยพญามังราย เพื่อเป็นเมืองหลวงของล้านนา โดยขั้นแรกได้ขุดคูเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาวด้านละประมาณ 1.63 กิโลเมตร และนำดินที่ได้จากการขุดคูเมืองนั้นขึ้นไปถมเป็นแนวกำแพงเมือง โดยเริ่มขุดที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือคือแจ่งศรีภูมิอันเป็นทิศมงคลก่อน แล้วก่ออิฐขนาบสองข้างกันดินพังทลาย ข้างบนกำแพงปูอิฐตลอดแนวทำเสมาไว้บนกำแพงทั้งสี่ด้านและประตูเมืองอีกทั้งสี่แห่ง
image

? กำแพงด้านทิศเหนือ มีความยาวมากที่สุด วัดได้ประมาณ 1.67 กิโลเมตร รองลงมาเป็นกำแพงด้านทิศใต้ วัดได้ 1.63 กิโลเมตร
? กำแพงด้านทิศตะวันออกมีความยาวเท่ากับทิศตะวันตก คือ 1.62 กิโลเมตร

หลังจากที่เชียงใหม่ได้รับอิสรภาพจากพม่า เจ้ากาวิละ ได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าบรมราชาธิบดี เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 1 โปรดให้บูรณะกำแพงเมืองเป็นครั้งใหญ่ เป็นกำแพงอิฐที่มีความมั่นคงทนทาน และบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2361 ในรัชสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 2

ในปี พ.ศ. 2491 เนื่องจากกำแพงเมืองเชียงใหม่มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างมาก และบางแห่งก็พังเป็นซากปรักหักพัง ทั้งยังมีวัชพืชขึ้นเป็นการรกอย่างมาก อีกทั้งยังบดบังทัศนียภาพของคนที่อยู่นอกกำแพงเมือง ดังนั้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ทางเทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้เริ่มรื้อกำแพงออก เพื่อสร้างถนนและเส้นทางคมนาคมในตัวเมืองเชียงใหม่

แจ่งเมืองเชียงใหม่


กำแพงเมืองเชียงใหม่มีแจ่ง (มุม) 4 แจ่ง ซึ่งถือเป็นป้อมปราการของเมืองในอดีต ได้แก่

แจ่งศรีภูมิ

เดิมชื่อ แจ่งสะหลีภูมิ เป็นแจ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนที่พญามังรายสร้างเมืองโปรดให้ขุดคูเมืองและสร้างกำแพงจากจุดนี้ไปยังแจ่งขะต้ำแล้ววกผ่านไปยังแจ่งกู่เฮืองแล้วต่อไปยังแจ่งหัวลินแล้ววกไปสี้นสุดที่แจ่งศรีภูมิ ตอนที่เริ่มขุดมีเรื่องเล่าว่าจุดนี้จะลึกมากๆขนาดเอาบันไดไม้ไผ่(เกิ๋น)ที่มีช่องเหยียบมากเกินพันขั้น(พันตาเกิน)มาปีนขึ้นลง จึงเป็นที่มาของวัด พันตาเกิน หรือวัดชัยศรีภูมิในปัจจุบัน
image
image

แจ่งก๊ะต้ำ

หรือแจ่งขะต๊ำ คำว่า ขะต๊ำ เป็นเครื่องมือจับปลาของชาวล้านนาโบราณ ที่มีลักษณะคล้ายๆลอบดักปลา ในคูเมืองคงจะมีปลาและสัตว์น้ำชุกชุมในบริเวณนี้ เป็นแจ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
image
image
image

แจ่งกู่เฮือง

เป็นแจ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ที่มาของชื่อเนื่องจากเป็นที่เก็บอัฐิของ อ้ายเฮือง ที่ได้เป็นผู้คุมของพญาคำฟู ซึ่งได้ถูกนำมาคุมขังที่นี่ภายหลังถูกจับกุม เนื่องจากก่อนหน้าได้ชิงราชสมบัติจากพญาแสนภู ซึ่งพญาไชยสงคราม พระบรมเชษฐาของพญาแสนภูปกครองเชียงรายอยู่รับสั่งให้มาปราบ
image
image

แจ่งหัวลิน

เป็นแจ่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือ แจ่งนี้เป็นแจ่งที่รับน้ำที่ไหลมาจากดอยสุเทพหล่อเลี้ยงไปทั่วเมือง
image
image
image
image

ข้อมูล : ไม่ทราบแหล่งที่มา
ภาพ : คุณบุญเสริม สาตราภัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, เชียงใหม่นิวส์, ตามระบุในภาพ และที่ไม่ได้ระบุ
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ, เจ้าของภาพ และผู้รวบรวม