เจอหมาปั๊กโดนทิ้งบนตู้กดเงิน สงสารตามหาเจ้าของ คนไปช่วยดู ช็อตฟีลขำกลิ้ง

เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 เว็บไซต์ Hk01 เผยว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีผู้ใช้โซเชียลพลเมืองดีรายหนึ่งได้โพสต์แชร์ภาพชวนสะเทือนใจผ่านทางเฟซบุ๊กชุมชน 香港失物報失及認領群組 กลุ่มสาธารณะในฮ่องกง ซึ่งมีสมาชิกผู้ติดตามราว 1.1 แสนราย เผยให้เห็นว่ามีสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวหนึ่งถูกนำมาทิ้งไว้ที่ตู้เอทีเอ็ม ภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สภาพของมันนั่งหงอยอยู่บนเครื่องกดเงิน เห็นแล้วน่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง

หญิงสาวนำภาพมาโพสต์ พร้อมประกาศช่วยตามหาเจ้าของ โดยระบุว่า "สุนัขตัวหนึ่งหลงทาง รอเจ้านายมารับกลับบ้าน อยู่ที่ตู้ ATM สถานีรถไฟซาถิ่น ถ้าเจ้าของได้เห็นโปรดมารับมันกลับบ้านด้วย อากาศหนาวมาก น่าสังเวชใจเหลือเกิน"

ผู้ใช้โซเชียลให้ความสนใจโพสต์ดังกล่าวจำนวนไม่น้อย พากันเข้าไปช่วยสอบถามและแจ้งพิกัดที่แน่ชัด รวมทั้งมีคนตามไปดูเพื่อช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม เมื่อไปเจอสภาพของ "สุนัข" ตัวจริง กลับกลายเป็นอีกเรื่อง จากที่สงสารน้ำตาซึม กลายเป็นขำกระจาย

แท้จริงแล้วเจ้าหมาปั๊กหน้าหงอยที่นั่งซึมอยู่บนตู้กดเงินนั้นไม่ใช่สุนัขของจริง แต่มันเป็นเพียงหมอนเลียนแบบหมาปั๊ก ที่ถูกทำขึ้นมาให้มีรูปทรงและลวดลายเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทางเจ้าของแค่ลืมวางทิ้งไว้ หรือเป็นความตั้งใจใด ๆ ทำให้มันมาอยู่ตรงนี้ได้

โดยผู้ที่ตามไปเห็นได้อัปเดตรูปภาพของเจ้าหมาปั๊กตัวนี้ในตำแหน่งล่าสุด แสดงให้เห็นว่ามันได้รับการเคลื่อนย้ายให้ไปนอนหลบอยู่ตรงร่องเสา เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด

หลังจากนั้นชาวเน็ตก็พากันเข้าไปแสดงความคิดเห็นขำขันมากมาย "ใครเป็นคนทำ", "ใครมันช่างใจร้าย ทำกันได้ลง" ทั้งนี้ มีหลายคนที่เชื่อจริง ๆ …"มันเหมือนของจริงมาก ฉันเกือบร้องไห้แล้ว", "รถไฟฟ้าใต้ดินไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงขึ้น ฉันจึงเชื่อจริง ๆ ว่าจะมีคนทิ้งมันไว้ตรงนั้น", "โดนแกงกันหมดเลย ฮ่า ๆ"

https://pet.kapook.com/view264967.html

image

หญิงปล่อยปลาดุก 12,000 กก. ทำบุญให้พ่อแม่ ทำปลาตายทั้งทะเลสาบ จ่ายอีกครึ่งล้าน

ในขณะที่ใครหลายคนมีความเชื่อในเรื่องการทำบุญด้วยการไถ่ชีวิต หรือการปล่อยนกปล่อยปลา แต่บางครั้งการนำสัตว์ไปปล่อยโดยไม่ศึกษาให้ดี อาจนะมาซึ่งหายนะครั้งใหญ่ ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงรายหนึ่งในเมืองฉางโจว มณฑลเจียงซู ประเทศจีน

โดยวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เว็บไซต์ CTWANT รายงานว่า หญิงแซ่สวี ต้องการจะทำบุญใหญ่ให้พ่อแม่ที่กำลังป่วย จึงควักเงิน 90,400 หยวน (ราว 453,000 บาท) ซื้อปลาดุกจำนวน 25,000 ตัว รวมน้ำหนัก 12,000 กิโลกรัม มาปล่อยลงทะเลสาบ แต่ไม่คิดเลยว่าหายนะจะเกิดขึ้น

กลายเป็นว่าการปล่อยปลาครั้งนั้นทำให้ปลาตายทั้งทะเลสาบ ซากปลาจำนวนมหาศาลลอยขึ้นมาเหนือน้ำ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลากว่า 10 วันในการเข้ามาจัดการกับซากปลาเหล่านี้

แน่นอนว่าการจัดการกับซากปลานั้นไม่ใช่ฟรี ๆ แต่มีค่าใช้จ่ายรวมเป็นเงินกว่า 90,000 หยวน (ราว 451,000 บาท) ทั้งค่าธรรมเนียมการเก็บซาก ค่าจัดเก็บ ค่ากำจัดสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้หญิงแซ่สวีต้องเป็นคนจ่าย อย่างไรก็ตาม ทางอัยการมองว่าบทลงโทษยังไม่รุนแรงพอ จึงยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อสาธาณะประโยชน์

ต่อมามีข้อมูลปรากฏว่า ปลาดุกนั้นเป็นเอเลี่ยนสปีชีส์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ต่างถิ่นที่มีความสามารถในการรุกรานอย่างมาก อีกทั้งยังมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากพวกมันเป็นปลาเขตร้อน สภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยต้องมีอุณหภูมิสูงกว่า 7 องศาเซลเซียส แต่วันที่ปลาถูกนำไปปล่อยนั้น อุณหภูมิในทะเลสาบต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบนิเวศทั้งหมด

ทั้งนี้ ศาลตัดสินให้หญิงแซ่สวีกับคนขายปลามีความผิดร่วมกัน และต้องร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 35,000 หยวน (ราว 175,000 บาท) สำหรับความเสียหายต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมถึงชดใช้อีก 5,000 หยวน (ราว 25,000 บาท) เป็นค่าเสียหายเชิงลงโทษ เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง โดยคดีดังกล่าวนับเป็นคดีเพื่อผลประโยชน์สาธารณะเคสแรกของจีน เกี่ยวกับการนำสัตว์ต่างถิ่นเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย โดยผู้ซื้อและผู้ขายต้องรับโทษร่วมกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก CTWANT
https://hilight.kapook.com/view/231098

image

ลูกหมาโดนเจ้าของทิ้งที่สนามบิน ชีวิตพลิกผันก่อนเจอนายใหม่ ได้อยู่บ้านกัปตันไปเลย

เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยเรื่องราวของลูกสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งถูกเจ้าของปล่อยทิ้งไว้ที่สนามบิน จนสุ่มเสี่ยงที่จะต้องถูกหลงลืมหรือจบชีวิตลง ก่อนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างอบอุ่น จนถึงวันที่ได้เข้าสู่อ้อมกอดจากเจ้าของคนใหม่

ย้อนไปเดือนกันยายน 2565 มีผู้โดยสารเดินทางจากจีน เข้ามาที่สนามบินซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ พร้อมลูกสุนัข พันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดผสม วัยเพียง 12 สัปดาห์ ซึ่งตามกฎของศูนย์ควบคุมโรคจะไม่อนุญาตให้นำสัตว์ที่มาจากประเทศเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่สหรัฐฯ และเนื่องจากผู้โดยสารรายนี้ไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง เจ้าตัวจึงตัดสินใจเดินทางต่อไปรัฐอื่นเพียงคนเดียว ทิ้งภาระการตัดสินใจให้กับ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส สายการบินชื่อดัง เป็นผู้กำหนดอนาคตของลูกสุนัขตัวนี้แทน

ทางเลือกที่ศูนย์ควบคุมโรคเสนอกับยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส อย่างแรกคือ ส่งสุนัขตัวนี้กลับไปที่ต้นทางคือประเทศจีน ซึ่งอาจทำให้มันจะถูกกำจัดลงที่ปลายทาง หรือ ปล่อยสุนัขไว้ที่สนามบินแห่งนี้ แต่พวกเขาตัดสินใจที่ต่างออกไป คือประสานให้สุนัขได้ไปกักตัวอยู่ที่สนามบินลอสแอนเจลิส รวมทั้งหาทางแก้ไขเพื่อหาทางให้มันสามารถอยู่ในสหรัฐฯ พร้อมกับตัวชื่อน้องหมาตัวนี้ว่า โพลาริส (Polaris) ตามชื่อชั้นธุรกิจของสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส

หลังจากกักตัวครบ 3 เดือนตามกำหนด โพลาริส ก็ผ่านเกณฑ์ต่าง ๆ ทำให้มันสามารถมีเจ้าของเลี้ยงในสหรัฐฯ ได้แล้ว ก่อนจะถูกปล่อยจากโซนกักตัวที่แอลเอ กลับมาที่ซานฟรานซิสโก เพื่อให้ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส และสถานสงเคราะห์สัตว์ SF SPCA เป็นเจ้าภาพในการหาเจ้าของใหม่ต่อไป โดยจะเน้นไปที่สมาชิกในองค์กรที่ต่างผูกพันกับเจ้าโพลาริส ซึ่งมีผู้ขออาสาเป็นเจ้าของใหม่ให้เจ้าหมาน้อยตัวนี้กว่า 30 ราย

และแล้ว เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา โพลาริส ก็ได้เจ้าของใหม่เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเขานั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็น กัปตันวิลเลียม เดล กัปตันของสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส โดยงานนี้ทางสายการบินยังเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงส่งมอบให้กับเจ้าของใหม่ โดยเจ้า โพลาริส มาในชุดซานต้าสุดน่ารัก ก่อนจะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ทันเวลาช่วงฉลองวันคริสต์มาสอีกด้วย

เดล เปิดใจว่า โพลาริส เป็นสุนัขตัวแรกของครอบครัว เรื่องราวของมันน่าทึ่งมาก ๆ และก็นึกไม่ถึงเลยว่า พวกเราจะโชคดีได้รับเลือกให้เป็นเจ้าของมันจริง ๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก Washington Post, Dailymail

image

เผยสาเหตุ กระเป๋า Gentlewoman ทำไมถึงฮิตในหมู่คนสิงคโปร์ จนโดนล้อ - ราคาพรีพุ่งปรี๊ด

ต้องบอกว่าตอนนี้ ไปไหนก็มีแต่คนใช้กระเป๋าผ้าชื่อดังแบรนด์ไทยอย่าง Gentlewoman ที่ฮิตถล่มทลาย ไปไหนก็ต้องมี ด้วยราคาดีจับต้องได้ ถึงขั้นที่ทางแบรนด์แตกไลน์ออกมากันเพียบ ๆ และความฮิตนี่ไม่เฉพาะอยู่ที่ไทย แต่ล่าสุดไปไกลถึงสิงคโปร์ จนมีคนตั้งอินสตาแกรมเอามาล้อแบบจิกกัด สะพายเยอะดีนักเห็นอยู่ทุกที่

ล่าสุด เว็บไซต์ yahoo.com ได้เผยสาเหตุที่กระเป๋า Gentlewoman ฮิตสุด ๆ ในสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นเพราะการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างไทยและสิงคโปร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกล บางคนก็มาเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และคนก็ไปขนกระเป๋า Gentlewoman มาใช้ ซึ่งราคาก็ไม่ได้แพงมากมาย ประมาณ 12 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 300 กว่าบาท

ซึ่งดูเหมือนว่าอินสตาแกรม gentlewomanbaginsg อินสตาแกรมที่อุทิศให้การถ่ายรูปผู้หญิงที่สะพายกระเป๋า Gentlewoman จะยิ่งร้อนแรงหลังจากข่าวออกไป มีคนส่งรูปมาให้ทางเพจลงมากมาย และดูเหมือนไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่สะพาย แต่ผู้ชายก็สะพายด้วยเหมือนกัน

เท่านั้นยังไม่พอ อินสตาแกรม adlvshitposting ยังได้เผยโพสต์จิกกัดคุณลักษณะของผู้หญิงสิงคโปร์เชื้อสายจีน ที่ชอบสะพายกระเป๋า Gentlewoman เช่น

ชอบไปเที่ยวที่ กทม. "ฉันเพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ"
ชื่นชอบ แจ็กสัน หวัง
สูบบุหรี่หรือสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อเข้าสังคม
ใส่รองเท้ายี่ห้อ crocs กับตัวติดรองเท้า jibbitz ของปลอมที่สอยมาจากช้อปปี้
ชอบกินชาบูหมาล่า

อย่างไรก็ตาม แม้จะโดนล้อขนาดไหน แต่ความฮิตของกระเป๋า Gentlewoman ก็ใช่ว่าจะน้อยลง โดยหากลองเช็กในแพลตฟอร์มซื้อสินค้าของสิงคโปร์ จะเห็นว่าราคากระเป๋าได้พุ่งทะยานไปแล้ว เช่นรุ่นฮิต GW Canvas Tote Bag ที่ไทยขายแค่ 390 บาท แต่ที่สิงคโปร์ขายใบละ 800 บาท, รุ่น Tiny Tote เมืองไทยขายใบละ 390 บาท สิงคโปร์ขายใบละ 850 บาท หรือรุ่น SMALL PUFFER BAG ที่ไทยขายใบละ 590 บาท สิงคโปร์ขายใบละ 800 บาท

image

บริษัทน้ำมันฮุนได จ่ายโบนัสพนักงาน 1,000% เจ้าอื่นไม่น้อยหน้า เผยปีก่อนให้ 1,400%

วันที่ 2 มกราคม 2566 เว็บไซต์โคเรียเฮรัลด์ เผยว่า ฮุนได ออยล์แบงก์ (Hyundai Oilbank) หนึ่งในบริษัทปิโตรเลียมและโรงกลั่นชั้นนำของประเทศเกาหลีใต้ ได้ประกาศมอบโบนัสให้แก่พนักงานเป็นจำนวน 1,000 เปอร์เซ็นต์ของฐานเงินเดือน แม้บริษัทจะปฏิเสธการเปิดเผยจำนวนเงินที่แน่ชัด แต่รายงานระบุว่า ในปี 2564 พนักงานของบริษัทได้รับเงินเฉลี่ย 121 ล้านวอน (ราว 3.2 ล้านบาท) ต่อคน รวมถึงโบนัสในอัตรา 600 เปอร์เซ็นต์

โบนัสก้อนโตดังกล่าวเป็นผลมาจากผลประกอบการที่โดดเด่นของอุตสาหกรรมการกลั่นในปีที่ผ่านมา ตามรายงานเผยว่า เพียงแค่ในไตรมาสที่ 3 กำไรจากการดำเนินงานของ Hyundai Oilbank พุ่งทะยานสูงขึ้น 226 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ไปแตะที่ 2.8 ล้านล้านวอน (ราว 7.5 หมื่นล้านบาท) เมื่อรวมผลประกอบการไตรมาสที่ 4 กำไรสะสมของปีที่แล้ว จึงเพิ่มขึ้นอีก

เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมรายหนึ่งซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวว่า "พลวัตเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้วัดผลกำไรของของอุตสาหกรรมน้ำมันและโรงกลั่น เนื่องจากผลกระทบที่ยืดเยื้อจากการรุกรานยูเครนของรัสเซีย และความต้องการเครื่องทำความร้อนที่เพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว ราคาน้ำมันโลกจึงพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้ราคาขายปลีกของเราพุ่งสูงขึ้น"

ขณะเดียวกัน ด้านองค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตรของประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ซึ่งนำโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ยังคงนโยบายลดการผลิตน้ำมันลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จึงทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น

บริษัทโรงกลั่นรายใหญ่อื่น ๆ ในเกาหลีใต้ เช่น SK Energy, S-Oil และ GS Caltex จะกำหนดอัตราโบนัสให้แก่พนักงานเช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของบริษัทโรงกลั่นน้ำมันรายใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อ กล่าวว่า "เรายังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับโบนัส แต่คาดว่าจะคล้ายกับของ Hyundai OilBank ไม่มากก็น้อย"

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบริษัท SK Energy และ GS Caltex จ่ายเงินพิเศษให้พนักงาน 1,000 เปอร์เซ็นต์ของฐานเงินเดือน ขณะที่ S-Oil ให้โบนัสพนักงาน ในอัตราสูงถึง 1,400 เปอร์เซ็นต์

ขอบคุณข้อมูลจาก koreaherald.com
https://hilight.kapook.com/view/229965

image
เกี่ยวกับ

ข่าวรอบโลก