【Review】ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน It doesn’t have to be crazy at work -เจสัน ฟรีด และเดวิด ไฮน์ไมเออร์ แฮนส์สัน

ความคิดเห็น · 2369 ยอดเข้าชม

สำนักพิมพ์ อมรินทร์

เห็นปกก็กระแทกเลยครับ!

 

ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน It doesn’t have to be crazy at work -เจสัน ฟรีด และเดวิด ไฮน์ไมเออร์ แฮนส์สัน ผลงาน International Bestseller จากสองผู้บริหาร ผู้ฉีกกฎการทำงานยุคนี้

 

หากคุณเคยอ่าน Rework, Remote หรือใช้งาน Twitter, Shopify, GitHub, Airbnb, Square ย่อมต้องสนใจเล่มนี้อย่างแน่นอน เพราะเขาคือผู้เขียนและผู้สร้างเฟรมเวิร์คอันโด่งดังเหล่านี้

 

“ทำงานอย่างมีความสุขไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น คุณสามารถเล่นกับลูกๆ และยังประสบความสำเร็จได้ คุณมีงานอดิเรกได้ ดูแลร่างกายได้ อ่านหนังสือได้ ดูหนังตลกๆ กับคู่ชีวิตได้ ใช้เวลาทำอาหารดีๆ ได้ ไปเดินเล่นไกลๆ ได้ และกล้าเป็นคนธรรมดาสามัญอย่างที่สุดได้ บางครั้งบางคราว”

 

ชื่อแปลไทยของหนังสือเล่มนี้อาจฟังดูเวอร์ไปหน่อย แต่หลังจากอ่านแล้วพบว่าเป็นหนังสือที่สอนถึงวัฒนธรรมที่ควรจะเป็น ไม่ใช่วัฒนธรรมอย่างที่เราเข้าใจกันไปเอง

 

หนังสือถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ควบคุมความทะเยอทะยาน ปกป้องเวลาของคุณ หล่อเลี้ยงวัฒนธรรม ชำแหละกระบวนการ และใส่ใจในงานของคุณเอง

 

ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้การทำงาน Work from home กันมากขึ้น หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ใช้เพื่อทำงานให้เก่งขึ้น แต่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) ไม่ว่าจะทำงานที่ไหนๆ บนโลกนี้

 

โลกของการทำงานต้องเป็นโลกแห่งความโกลาหล และดูดพลังชีพของคนให้แห้งเหือดหรือเปล่า?

 

สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามได้ดีคือความสมดุลของชีวิตการงานที่ปรับเปลียนสู่วิธีที่เหมาะที่ควร จะนำพาพลังงานที่ดีและปลดล็อคให้กับคนและองค์กรได้อย่างไร

 

หลากหลายสถานการณ์และเคสตัวอย่างได้ถูกรวบรวมมาไว้ในหนังสือเล่มนี้แล้ว แม้จะไม่ครอบคุลมทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นประโยฃน์สำหรับความโกลาหลที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และนี่คือตัวอย่างที่ผมชอบในบทต่างๆ ของหนังสือเล่มนี้

 

1.ควบคุมความทะเยอทะยาน

-ทำงานบ้าแทบตาย กลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว แต่ทำไมต้องบ้าด้วย

เวลาเราส่วนใหญ่หมดไปกับสิ่งที่ไม่สลักสำคัญ เราทำงานมากขึ้น แต่อาจเสร็จน้อยลง ไม่ว่าคุณจะทำงานหนักขนาดไหน เวลาก็ไม่เคยพอ เพื่ออะไรกัน คำแนะนำง่ายๆ คือ “ช่างแม่ง และพอเถอะ”มันคือความวิปริตของงานลองถอยออกมาแล้วให้พวกห่วยแตกกระโดดไปเองเถอะ

 

-บริษัทคือสินค้าชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าคุณเป็นเจ้าของหรือพนักงาน ทุกคนล้วนมีส่วนในการพัฒนามันให้ดีขึ้น

 

-การเปรียบเทียบคือมรณกรรมของความหรรษา -มาร์ก ทเวน

 

ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากแข่งขันอะไร สิ่งที่คนอื่นทำไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เราทำได้ เราแค่พึงพอใจกับงานของตัวเองโดยวัดจากความสุขของเราและการสั่งซื้อของลูกค้า

ตั้งเป้าหมายให้ไม่มีเป้าหมาย)

 

-การไล่ตามเป้าหมาย มักนำพาบริษัทให้อะลุ้มอะล่วยเรื่องศีลธรรม ความจริงใจ และความซื่อสัตย์เพื่อไปให้ถึงตัวเลขจอมปลอมเหล่านั้น ลองตั้งแค่ว่าธุรกิจต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ดีไหม หรือจะรับใช้ลูกค้าอย่างไรดี หรือจะเป็นสถานที่ทำงานอันรื่มรมย์ก็ยังได้

 

2.ปกป้องเวลาของคุณ

-8 ชั่วโมงต่อวันแล้ว 40 ต่อสัปดาห์นั้นเหลือเฟือ

เมื่อคุณตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกแล้ว ก็จะเหลือแต่สิ่งที่จำเป็น เวลาที่คุณต้องการจริงๆ แค่ 8 ชั่วโมงต่อวัน ประมาณ 5 วันต่อสัปดาห์ (อันนี้ฟังดูง่ายแต่ทำยาก)

 

-การทำงานแทบล้มประดาตายมันล้าสมัยแล้ว

อยู่ที่ทำงานตลอด เรียกใช้งานตลอด ทำงานอยู่ตลอด นั่นคือตัวอย่างยอดแย่ของจริยธรรมการทำงาน คนเราประสบความสำเร็จได้ เพราะมีความสามารถ โชคดี อยู่ถูกที่ ถูกเวลา เลิกเปรียบเทียบจริยธรรมการทำงานว่าเท่ากับชั่วโมงการทำงานอันล้นเกิน การทำแบบนั้นไม่ได้ทำให้คุณก้าวหน้าหรือช่วยให้คุณหาความสงบเจอหรอก

 

-เติมปฏิทินทำงานเหมือนเล่นเกมเทอทริส (Time Blocking)

ถ้าคุณไม่อาจเป็นเจ้าของเวลาส่วนใหญ่ของตัวเองได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ใจจะสงบ คุณจะตึงเครียดอยู่เสมอ รู้สึกเหมือนถูกปล้นชิงความสามารถในการทำงานของตัวเองจริงๆ ไป

 

-เลิกกลัวตกข่าวแล้วกันมาชอบตกข่าวกันดีกว่า

ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่ทุกคนจะต้องพยายามรู้ทุกเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในบริษัท มันคือการสิ้นเปลืองพลังงานสมอง และสมาธิ ถ้ามันสำคัญจริง คุณจะรู้เองแหละ

 

3.หล่อเลี้ยงวัฒนธรรม

อย่าโกงการนอน

-การอดนอนลดทอนไอคิวและความคิดสร้างสรรค์ ลองสังเกตสิว่าคนที่อดนอนทำงานเยอะๆ เขาจำอะไรได้บ้างที่สำเร็จ แค่หลายอย่างอยั่บรวมว่าเป็นงาน การโต้รุ่งคือธงแดง ไม่ใช่ไฟเขียว ถ้าคนพุ่งเข้าหามัน จองถอยกลับมา แทบทุกอย่าง รอจนเช้าได้ทั้งนั้น

 

4.ชำแหละกระบวนการ

-เรียลไทม์ผิดเวลา

หลักการตอบแชท “ตอบทันทีให้น้อย ตอบทีหลังให้มาก”และถ้ามันสำคัญ ต้องชะลอลง ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราเป็นคนออกแบบเองอย่างการสร้างกลุ่ม ถ้ามันนำพาซึ่งความเครียด มันก็คงเป็นปัญหาต่องาน และการออกแบบนั้นคงไม่ได้เรื่อง ...กรุ๊ปแชทเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการสื่อสารเล็กๆ ไม่ใช่ทั้งหมด

 

-ระวังทำงานสัปดาห์ละ 12 วัน

12 วันในที่นี้คือ งานที่เผาแบบลวกๆ แล้วส่งวันศุกร์ จะมีแนวโน้มการใช้เวลาการทำงานที่ยืดยาวออกไป อีกเหตุผลคือ วันจันทร์ไม่ได้ถัดจากวันศุกร์นั่นหมายถึงถ้าคุณได้แก้งานเดี๋ยวนั้นเวลาในการทำงานก็จะยืดยาวออกไปได้เช่นกัน และข้อสุดท้ายคือ หากคุณเอางานทั้งหมดมาทำในช่วงสุดสัปดาห์ แล้วคุณจะเอาเวลาที่ไหนมาพักผ่อน จริงอยู่ที่เราจะเกิดความประหม่าทุกครั้ง แม้กระทั่งมืออาชีพยังมีผิดพลาด ถ้ายังไม่มั่นใจจริงอย่างเพิ่งปล่อย รอให้ใจสงบแล้วค่อยปล่อยงานออกไป (ไม่ใช่ติสต์)

 

-ไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้

ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำอะไร แต่ต้องต่อสู้กับสิ่งที่เหมือนจะชัดเจนว่าควรทำ การใส่เวลาที่เพิ่มเข้าไปไม่ได้หมายความว่าจะได้รับประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น การไม่ทำอะไรเลยอาจเป็นตัวเลือกที่ยากที่สุด แต่ก็แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน

 

ฮารุกิ มูราคามิ นักเขียนนิยายขายดีทั่วโลกเข้านอนตอนสามท่มทุกคืน

 

-ลดเรื่องต้องทำให้น้อยลง

เวลาไม่ใช่สิ่งที่จะบริหารจัดการได้ เวลาก็คือเวลา มันหมุนไปตามจังหวะเดิม ไม่ว่าคุณจะปลุกปล้ำมันยังไง คุณเลือกใช้เวลาทำอะไรต่างหาก คือสิ่งเดียวที่คุณควบคุมได้

 

ไม่มีอะไรจะไร้ประโยชน์เท่ากับการทำบางสิ่งอย่างมีประสิทธิภาพทั้งที่สิ่งนั้นไม่ควรต้องทำเลยสักนิด -ปีเตอร์ ดรักเกอร์, ปรมจารย์ด้านการจัดการ

 

-รู้จัก “ไม่” ซะบ้าง

เมื่อคุณปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันคือตัวเลือกที่ก่อให้เกิดตัวเลือกอื่น พรุ่งนี้คุณก็เปิดรับโอกาสใหม่ๆ ได้เหมือนวันนี้

 

5.ใส่ใจในงานของคุณเอง

-เสี่ยงตัวเองโดยไม่พาตัวเองไปเสี่ยง

การพนันที่ฉลาดคือการพนันที่คุณยังเล่นใหม่ได้ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง

 

-ทำเงินเยอะไม่ได้ดีเสมอไป

ลูกค้าที่แย่ที่สุดคือลูกค้าที่คุณยอมเสียไม่ได้ การเข้ามาของบริษัทขนาดใหญ่ทำให้คุณขาดอิสรภาพในผลงานตัวเอง การจะเป็นบริษัทอันสงบสุข สำคัญที่ว่า

 

คุณเป็นใคร คุณทำงานให้ใคร และคุณอยากปฏิเสธใคร

ทั้งหมดนี้ทำให้รู้ว่าเราสร้างผลประโยชน์สูงสุดเพื่อใคร ตัดคำว่าผิดถูกออกไป อย่าได้ลังเลกับทางเลือกนั้น

 

-ปล่อยไปก่อนแล้วค่อยรู้

คำตอบที่แท้จริงจะปรากฎก็ต่อเมื่อใครสักคนมีแรงจูงใจมากพอให้ซื้อสินค้าของคุณและใช้มันในสภาพแวดล้อมตามปกติของตัวเอง ตลาดจะบอกความจริงกับเราเอง

 

-ลอกเลียนแบบ

ลอกได้ลอกไป พวกเขาแค่คิดแหง็กอยู่กับสิ่งที่คุณทิ้งไว้เบื้องหลัง ทำใจให้สบาย ยอมรับกับความจุกจิก แล้วปล่อยวางเสีย

 

นั่นมันใช้ไม่ได้กับธุรกิจเราหรอก นั่นคือหนทางที่คุณต้องหาภายในหนังสือเล่มนี้ บางอย่างอาจได้ผล บางอย่างอาจไม่ได้ผล นั่นคือผลผลึกจากการอ่านหนังสือฮาวทูมาหลายๆ เล่ม ไม่มีเล่มไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าหนังสือเล่มนั้นจะช่วยคุณสร้างการเปลี่ยนแปลง และออกแบบในตัวตนที่คุณอยากเป็น เริ่มเสียวันนี้ แทนที่คุณจะมานั่งบ้ากับอะไรที่วอแวและพาไปสู่ความทุกข์ใจ สิ่งหนึ่งที่ชอบคือ การคั่นบทด้วยคำคมจากผุ้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ หนังสือเล่มนี้อ่านง่ายและจบได้ไม่นาน บทๆ หนึ่งไม่เกิน 3 หน้า หวังว่าคุณจะเอาหลักการเหล่านี้ไปลองปรับใช้ดูนะครับ ขอให้พบแต่ความสงบ (ในที่ทำงาน)

 

ซื้อ

 SE-ED bit.ly/BuyItDoesntHaveToBeCrazyAtWorkSEED

 นายอินทร์

 bit.ly/BuyItDoesntHaveToBeCrazyAtWorkNaiin

 

#Itdoesnthavetobecrazyatwork #ทำงานยังไงไม่ให้บ้าไปซะก่อน #JasonFried #DavidHeinemeierHansson

ความคิดเห็น